มีการวิจัยใหม่พบว่า คลื่นความร้อนสูงสุดที่ฆ่าได้แม้กระทั่งคนสุขภาพดีภายในไม่กี่ชั่วโมงจะโจมตีส่วนหนึ่งของอินเดียถ้าหากว่ายังคงมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับโลกอย่างสูงอีกต่อไป
คลื่นความร้อนเป็นความเสี่ยงหลักในอัฟริกาใต้ซึ่งทำให้ประชาชน 35,000 คน เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 2015 และอินเดียได้บันทึกวันที่ร้อนที่สุดของทุกๆ วันเมื่อปี ค.ศ.2016 เมื่ออุณหภูมิในเมืองพาโลดี ราชสถานสูงถึง 51 องศาเซลเซียส และยังมีการศึกษาใหม่ในสัปดาห์นี้ที่พยายามเชื่อมโยงไปสู่ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ชาวนาเกือบ 60,000 คนต้องฆ่าตัวตาย (แต่ข้อเท็จจริงระบุว่าชาวนาฆ่าตัวตายเพราะความเครียดจากอุตสาหกรรมเกษตร (https://www.theguardian.com/environment/2017/jul/31/suicides-of-nearly-60000-indian-farmers-linked-to-climate-change-study-claims)
อย่างไรก็ตาม ชาวนาที่ยากจนมีความเสี่ยงมากที่สุดจากการเกิดคลื่นความร้อนชื่นในอนาคต แต่ก็ได้มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยมาก ในทางตะวันออกของประเทศจีน ยังมีเขตที่มีประชากรหนาแน่นเพ่ิมขึ้นและอยู่ในเส้นทางของคลื่นความร้อนจัดซึ่งความเสี่ยงนี้เพิ่งได้รับการตรวจสอบจากนักวิทยาศาสตร์
งานวิจัยก่อนหน้านี้ของนักวิจัยกลุ่มดังกล่าวซึ่งเผยแพร่เมื่อปี ค.ศ.2015 แสดงให้เห็นว่าอาวในตะวันออกกลางซึ่งเป็นหัวใจของอุตสาหกรรมน้ำมันของโลกจะได้รับความเดือดร้อนจากคลื่นความร้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาบูดาบี ดูไบ โดฮาและเมืองทางชายฝั่งในประเทศอิหร่าน
งานดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances ได้ใช้โมเดลด้านสภาพอากาศจากคอมพิวเตอร์ที่มีการคัดเลือกมาแล้วอย่างรอบคอบ
ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ Prof Chris Huntingford, at the UK Centre for Ecology and Hydrology, said: “If given just one word to describe climate change, then ‘unfairness’ would be a good candidate. Raised levels of carbon dioxide in the atmosphere are expected to cause deadly heatwaves for much of South Asia. Yet many of those living there will have contributed little to climate change.”
