อุตสาหกรรมผลิตตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศอาจต้องให้ความสนใจกับข่าวนี้ เมื่อนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยเซียนาสเตท สหรัฐอเมริกาค้นพบวัสดุ magnetocaloric ใหม่ที่อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมนี้ได้
"คาดการณ์กันว่า ตลาดตู้เย็นของโลกจะโตขึ้นอีก 7-8 พันล้านเหรียญภายในปี 2018 ดังนั้น การค้นพบครั้งนี้จึงมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมพลังงาน รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม" เชน สแตดเลอร์ นักวิจัยเผย
ทีมวิจัยของสแตดเลอร์เน้นการศึกษาเทคโนโลยีแม่เหล็กทำความเย็นรุ่นใหม่ที่ออกแบบง่ายกว่าเดิม เงียบขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าระบบอัดแก๊สที่ปัจจุบันใช้กันอยู่
"งานวิจัยของมหาวิทยาลัยหลุยเซียนาสเตทสู่ฟิสิกส์อุณหภูมิต่ำและวัสดุศาสตร์นี้มีศักยภาพในการนำไปใช้งานได้หลากหลายวงการ ทั้งวงการพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งแวดล้อม" ไมเคิล เชรอ์รี ศาสตราจารย์ที่ภาควิชาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเผย
เทคโนโลยีใหม่นี้ สนามแม่เหล็กจะจัดเรียงวัสดุใหม่ด้วยคุณสมบัติทางแม่เหล็กตามอุณหภูมิแวดล้อมวัตถุ ความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้จะถูกกำจัดออกไปด้วยตัวนำความร้อน อย่างเช่น น้ำหรืออากาศ และนำวัสดุกลับมาที่อุณหภูมิแวดล้อมวัตถุอีกครั้ง จากนั้นเมื่อนำสนามแม่เหล็กออก วัสดุจะกลับไปสู่สถานะไม่มีระเบียบทางแม่เหล็กอีกครั้งหนึ่ง และอุณหภูมิก็จะลดต่ำลงไปกว่าอุณหภูมิแวดล้อมวัตถุ ก่อให้เกิดความเย็นขึ้นในเวลาต่อมา กระบวนการทำความเย็นในสถานะของแข็งนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพในเชิงพลังงานมากกว่าระบบใช้การอัดแก๊สที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มาก
"เราได้ศึกษาระบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว และเราก็โชคดีที่ได้ค้นพบ ระบบที่การเปลี่ยนสนามแม่เหล็กเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามโครงสร้างได้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางแม่เหล็กนี้เกิดขึ้นใกล้ๆ กับอุณหภูมิห้องซึ่งน่าจะทำให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำเป็นอุปกรณ์ทำความเย็น magnetocaloric ในอนาคต"
การค้นพบของทีมวิจัยนี้นับว่า มีโอกาสที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ ที่จะช่วยลดการใช้แก๊สฟลูออโรคาร์บอนที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้
"เราตื่นเต้นกับเทคโนโยลีของ ดร.สแตดเลอร์ มากเพราะศักยภาพในการนำไปใช้งานมันมีมาก หน่วยงานพลังงาน ไฟฟ้า และบริษัทอื่นๆ ทั่วโลกหลายแห่งพยายามค้นหาวัสดุแม่เหล็กทำความเย็น คำตอบจาก ดร.สแตดเลอร์อาจจะช่วยไขปัญหาหลายๆ ข้อได้"
ปัจจุบัน ทีมวิจัยกำลังนำงานวิจัยนี้ไปจดสิทธิบัตร และมีผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายเริ่มให้ความสนใจเทคโนโลโยนีนี้ นักวิจัยวางแผนจะทำการทดสอบเพิ่มเติบเพื่อพัฒนาไปสู่การออกตลาดเชิงพาณิชย์ต่อไป"