นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานสัมมนา ?3 ยุทธศาสตร์ เจาะลึก เศรษฐกิจไทย ปี?58? ว่า ไทยจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ในการทำการค้า เพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้น หากไม่สามารถดำเนินการได้ ไทยจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติในอนาคต ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเน้นพัฒนาการค้าระหว่างประเทศและการค้าในประเทศ โดยไทยจะต้องเข้าไปตีตลาดการค้ามากกว่าเป็นประเทศรับจ้างผลิต เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจึงส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยติดลบติดต่อกัน 3 ปี
ทั้งนี้ แม้ปี 2558 จะตั้งเป้าหมายการส่งออกไว้เป็นบวกที่ 1.5% แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลก จึงอาจทำให้การส่งออกไทยขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายได้ ดังนั้นทางออกในการเพิ่มมูลค่าให้กับการส่งออก คือไทยจะต้องใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางทางการค้าของประชาคมเศรษฐกิจอา เซียน (เออีซี) ด้วยการส่งเสริมและผลักดันเป็นแพ็กเกจให้ผู้ประกิบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) แข็งแกร่ง ทำการค้าได้มากขึ้น
รวมทั้งส่งเสริมให้มีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านที่ต้นทุนค่าแรง ต่ำกว่าไทย และยังได้รับสิทธิประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) รวมถึงลดอุปสรรคในการทำการค้า โดยการเทรดดิ้งเฟิร์มที่ทำหน้าที่คล้ายบริษัทข้ามชาติ เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐนั้น ภาคเอกชนยังรับได้ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังดูแลได้เหมาะสม แต่หากแข็งค่ามากกว่านี้ จะทำให้ผู้ส่งออกมีขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง แนวทางที่จะดูแลค่าเงิน คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างรอดูสถานการณ์การกระตุ้นเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (อียู) ว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร ก่อนหน้านีสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ คาดการณ์ค่าเงินบาทไว้ในกรอบ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นค่าเงินที่เหมาะสมกับผู้ส่งออก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ค่าเงินบาทผันผวน รัฐบาลควรเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็ก ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น ทั้งนี้ ยอมรับการส่งออกของไทยครึ่งปีแรก 2558 จะไม่ขยายตัว ส่วนครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว อาจทำให้การส่งออกของไทยขยายตัว 3% และทำให้ทั้งปี 2558 จะขยายตัวได้ 1.1-1.5%
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องวางเเผนดำเนินธุรกิจและประเมินสถานการณ์ระยะสั้น ลง จาก 1 ปี เป็น 6 เดือน และมองว่ากำลังซื้อในประเทศยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ เพียงแต่บรรยากาศในประเทศยังไม่เอื้อต่อการใช้จ่าย ทำให้กำลังซื้อในประเทศยังคงชะลอตัว แต่ไม่ถึงขั้นซบเซา ในส่วนของซีพี ออลล์ ปี 2558 นี้มีแผนจะขยายสาขาเซเว่น-อีเลฟเว่นอีก 7,000 สาขาทั่วประเทศ ทำให้ขณะนี้มีสาขารวมทั้งสิ้นกว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศ
ทั้งนี้ คาดว่าซีพี ออลล์จะมีรายได้กว่า 200,000 ล้านบาท เติบโต 11-12% และเชื่อว่าการเป็นเออีซี ไทยยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่หลายประเทศสนใจเข้ามาทำการค้าและการลงทุน ดังนั้น เศรษฐกิจไทยจึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงดีขึ้น และอยากให้หลายฝ่ายไม่ควรมองหรือประเมินเศรษฐกิจเเบบรายปี และยังเชื่อว่าไทยยังมีความหวัง แต่ขึ้นอยู่กับการจัดทำยุทธศาสตร์และเเผนงาน เพื่อการทำงานของภาครัฐเเละเอกชนเดินหน้าไปด้วยกันได้