นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาคเอกชนต้องการเร่งรัดให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาการส่งออกแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานภายในเดือนมี.ค.นี้ โดยมีกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด 12 กระทรวงและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำงานผลักดันแก้ไขปัญหาการส่งออกอย่างจริงจังและประชุมต่อเนื่องเดือนละ 1 ครั้ง เนื่องจากการส่งออกมีอุปสรรคอย่างมาก ส่งผลให้การส่งออกไทยในไตรมาสแรกน่าจะติดลบ 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
?แม้ว่าทางสภาฯจะมองว่าการส่งออกไตรมาสแรกของไทยจะติดลบที่ 2% แต่ทั้งปีน่าจะกลับมาขยายตัวได้ 1-1.5% แต่ทั้งหมดคงต้องประเมินเป็นรายไตรมาสเพราะประเมินระยะยาวคงลำบาก โดยปัจจัยลบที่เจอหนักๆคือ ราคาสินค้าเกษตรและราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกภาพรวม เพราะสินค้าส่งออกที่เป็นน้ำมันสำเร็จรูป และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันอย่าง เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าว ซึ่งมีมูลค่าส่งออก คิดเป็นสัดส่วนถึง 22% ของการส่งออกทั้งหมดลดลงตามด้วย?
ส่วนกรณีที่กระทรวงพาณิชย์เรียกประชุมทูตพาณิชย์ ในวันที่ 16 มี.ค. นี้ถือเป็นเรื่องดีเพราะ จะทำให้มีการประเมินสถานการณ์ โลกที่เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก เพราะขณะนี้มีปัจจัยเสี่ยงด้านการส่งออกมากขึ้นแต่ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์อาจไม่จำเป็นจะต้องปรับเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้ว่าจะโตที่ 4% ในปีนี้ลง โดยรอให้ผ่านไตรมาส แรกไปก่อนเพื่อจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
สำหรับกรณีของการลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลงอีก 0.25% ได้ส่งผลต่อค่าเงินบาททำให้อ่อนค่าลง เหลือ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปีก่อนที่เฉลี่ย 32.2-32.3 บาท ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เอกชนไม่แน่ใจว่าจะอ่อนได้นานขนาดไหนแต่ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่จะทำให้ เกิดความมั่นใจว่า รัฐบาลได้ เข้ามาดูแล และทำให้การส่งออก และเศรษฐกิจไทยดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินมาอยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์ จะเหมาะสมที่สุด
